Social Share:
บทความแนะนำ
รีวิวการล่องเรือสำราญ Royal Caribbean International

สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ "ผมโต้ง" จาก Holiday In The Cruise เองครับ จากการที่ทำงานกับเรือสำราญ Royal Caribbean International และ Holiday In The Cruise เป็นตัวแทนโดยตรงจาก Royal Caribbbean International มีหน้าที่ Supply ตั๋ว และแนะนำการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวและบริษัททัวร์ในประเทศไทย นำเที่ยวด้านเรือสำราญเป็นหลักมากว่า 4 ปี จะขอมาแชร์ประสบการณ์และแนะนำเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่สนใจอยากลองเที่ยวทางเรือดูบ้าง แต่ยังไม่รู้ว่าจะเที่ยวกันยังไง คำถามยอดฮิต เช่น อยู่บนเรืออาทิตย์นึงเบื่อแย่ วันๆ มองแต่ ทะเลอยู่ไปได้อย่างไร ไปเที่ยวอาทิตย์นึงได้ลงจากเรือบ้างหรือเปล่า วันนี้เราจะมาไล่เรียงกันครับ ว่าการ เที่ยวเรือสำราญกับเรือสำราญ Royal Caribbean International มันเป็นอย่างไร ยาวนะครับเตรียมปูเสื่อรอได้เลย

"Tong Thanawat Likitprakong" | CEO
ทำไมคนถึงชอบเที่ยวเรือสำราญ
บอกได้เลยครับว่าคนที่ไปขึ้นแล้วหนึ่งครั้งจะอยากไปอีก เพราะว่ามันเที่ยวสบายครับ สบายสุดๆ นอนตื่นมาทานอาหาร ลงไปเที่ยว กลับมานอน ตื่นขึ้นมาอีกเมืองหนึ่ง เที่ยวต่อได้เลย แบ่งข้อดีได้ใหญ่ๆ 3 ข้อ
1. เที่ยวได้หลายเมืองในทริปเดียว ในทริปยุโรปนั้นอย่างต่ำก็ไปได้ 5-6 เมืองต่อ 1 ทริป เส้น Asia บางเส้นนั้นออกจากเซี่ยงไฮ้ไปเกาหลีไปญี่ปุ่น แล้ววกกลับมาจบที่เซี่ยงไฮ้ ทริปเดียวเที่ยวได้ 3 ประเทศ การเที่ยวทางบกปกติจะลำบากมาก ต้องต่อเครื่องบินกันถึง 3 ต่อเลยทีเดียว แต่ทางเรือสำราญนั้น นอนตื่นขึ้นมาก็ไปถึงอีกประเทศหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ทำให้การไปเรือสำราญครั้งหนึ่งๆ เที่ยวได้คุ้มค่าและสบายสุดๆ
2. ไม่ต้องเก็บกระเป๋า ปกติการไปเที่ยว 5-6 เมืองนั้น นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ต้องเก็บประเป๋า ย้ายโรงแรม ทุกเช้า! อันนี้เหนื่อยมากครับ ถ้าใครไปกับครอบครัวใหญ่จะรู้เลย
3. กิจกรรมมากมายมหาศาล การอยู่บนเรือนั้น เรือของ Royal Caribbean นั้นจะมีกิจกรรมแบบจัดหนัก จัดเต็ม ให้เรียกว่าไม่นอนก็มีกิจกรรมให้ทำตลอดเวลาไม่มีเบื่อแน่นอน ซึ่งกิจกรรมแต่ละอันนั้นก็จะกระจายกันออกไปในแต่ละส่วนของลำเรือ ทำให้คนไม่มาแน่นที่ใดที่หนึ่งมากนัก ทำให้เราทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย
รู้จักกับ Royal Caribbean International
Royal Caribbean International Cruise Ltd. นั้นเป็นเรือสำราญสัญชาติอเมริกัน มีแบรนด์ภายใต้การกำกับดูแลของเค้าคือ Royal Caribbean International, Celebrity Cruises และ Azamara Club Cruises มีเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกในกำกับดูแลอยู่ในชั้น Oasis Class เช่น Harmony of The Seas และ Symphony of The Seas ซึ่งวิ่งให้บริการอยู่ในเส้นทางยุโรปและอเมริกา ขณะเดียวกันก็มีเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย เช่น Quantum of The Seas และ Ovation of The Seas อยู่เช่นกัน
Royal Caribbean International มีเรือให้บริการอยู่ทั่วโลก 26 ลำ ประจำอยู่เส้นทางต่างๆ มีขนาดต่างๆ กัน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ต่างๆ กัน ความจุผู้โดยสาร ตั้งแต่ 2,020 คน เรื่อยไปจนถึง 6,780 คน ในเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Symphony of The Seas เรียกว่าเป็นเมืองขนาดย่อมๆ ลอยน้ำเลยทีเดียว
แล้ว Royal Caribbean International ต่างกับเรือสำราญเจ้าอื่นตรงไหน
ด้วยความเป็นอเมริกันของ Royal Caribbean International ก็ทำให้เรือของเค้ามีความสดชื่นรื่นเริงมากกว่าเรือสัญชาติอื่นๆ ทั้งความใหญ่โตโอโถง โชว์อลังการดาวล้านดวง อาหารจัดเต็มกว่า เดี๋ยวๆ ก็มีกิจกรรมนู่นนี่ให้ทำตลอดเวลา เรียกว่ากลัวเราอยู่นิ่งๆ หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ในขณะที่เรือสายอื่นอาจจะมีเรือที่ขนาดย่อมลง และบรรยากาศที่เงียบสงบกว่า ก็จะให้ความรู้สึกแตกต่างกันไป Royal Caribbean International นั้น มีเส้นทางเรียกได้ว่าทั่วโลก​ ทั้งจากเอเชีย ยุโรป อเมริกากลาง อเมริกาใต้ อลาสก้า ตะวันออกกลาง ปีหนึ่งๆ มีเส้นทางให้เลือก ประมาณ 1,000 เส้นทางได้ครับ บางทีมีพี่ๆ สอบถามกันเข้ามาโดยขอทราบว่า “Holiday In The Cruise มี โปรแกรมไหนบ้าง ส่งมาให้พี่ทั้งหมดเลยนะ” เราก็จะต้องมาตีวงให้แคบก่อนครับว่า 1. สะดวกช่วงเดือนไหน 2. ทวีปไหน เมืองไหนดี 3. เดินทางกันกี่ท่าน เพื่อเช็คดูจำนวนห้องที่เหลือ จากนั้นค่อยหาช่วงเวลาและเส้นทางที่ดีที่สุดครับ ว่าเส้นทางไหนเหมาะกับครอบครัวของเรามากที่สุด
เส้นทางเรือสำราญที่ๆ คนไทยนิยมกันไปบ่อยๆ 4 อันดับ
อันดับ 4 อลาสก้า (Alaska)
เส้นทางอลาสก้านั้น เป็นเส้นทางที่สวยมากๆๆๆๆๆ ครับ และการเดินทางทางเรือเท่านั้นที่จะพาให้เราได้ไปพบกับภูเขาน้ำแข็งกลางทะเล และจอดในเมืองท่าสำคัญต่างๆ ของอลาสก้า ซึ่งฤดูท่องเที่ยวของเส้นอลาสก้านั้น จะเป็นช่วงฤดูร้อนของเค้าครับ คือช่วงพฤษภาคม - กันยายน ของทุกปีครับ นอกฤดูนั้นจะเป็นช่วงที่มีอากาศค่อนข้างหนาว จึงไม่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวอลาสก้า ช่วงพฤษภาคม - กันยายน จึงเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดครับ
อันดับ 3 ยุโรปตะวันออก
เส้นทางยุโรปตะวันออกของ Royal Caribbean International นั้น จะเริ่มจากประเทศอิตาลีครับ โดยจะเดินทางไปจากเมือง เวนิส (Venice) ล่องไปทางตะวันออกของประเทศ ได้แก่ โครเอเชีย กรีซ มอนเตเนโกร เรื่อยไปจนถึง ตุรกี ซึ่งเมืองเหล่านี้ก็จะมีที่ๆ คนไทยชอบไปมาก แต่ไปทางบกได้ยากอย่างกรุง Athens ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอารยธรรมกรีก, เกาะ Santorini และเกาะหมู่บ้านสีขาวของประเทศกรีซ เมืองนี้คงไม่ต้องบรรยายมากนะครับสำหรับนักเดินทางชาวไทย เมือง Dubrovnic ของประเทศโครเอเชีย ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์สุดฮิต Game of Throne ซึ่งเป็นฉากของเมือง King’s Landing นั่นเอง
อันดับ 2 ยุโรปตะวันตก
ทริปนี้คนไทยจะนิยมขึ้นเรือสำราญจากเมืองท่าสองแห่ง ได้แก่ เมือง Barcelona ของประเทศสเปน และเมือง Rome ของประเทศอิตาลีครับ ทั้งสองเมืองนี้จะมีเมืองท่าให้พวกเราได้จอดและลงเที่ยว (Shore Excursion) ที่โด่งดัง ได้แก่
- Mallorca (มายอก้า) เที่ยวชมเมืองเก่า ถ้ำมังกร Drac Cave - Marseille (มาร์กเซย) ไปเยี่ยมชมโบสถ์ Notre Dame De La Garde อันเป็นจุดชมวิวสูงสุดของเมือง หรือเลือกช้อปปิ้งภายในตัวเมืองด้วยก็ได้ เราสามารถไปเที่ยวต่อที่ Monte Carlo ได้อีกด้วย
- La spezia (ลาสเปเซีย) ซึ่งท่านสามาถไปเที่ยวต่อได้ยังเมือง Florence หรือไปเที่ยวต่อที่เมือง 5 หมู่บ้าน Cinque Terre (ซิงเกว์ เทเร่) ได้อีกนั่นเอง
- Naple หรือ ที่คนไทยเรียกว่า "นาโปลี" นั่นเอง มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย สามารถนั่งรถต่อไปที่เมือง Pompeii (ปอมเปอีย์) เมืองที่เรารู้จักกันดีว่าเคยโดนภัยพิบัติภูเขาไฟถล่มเมื่อสมัยนานมาแล้ว และสามารถเข้าชมพิพิธภัณท์ที่เก็บรักษาโบราณวัตถุที่น่าทึ่งอีกหลายชิ้น
และอีกหลายๆ เมืองระหว่างทางที่จะยังไม่ขอกล่าวในบทความนี้นะครับ เพราะยังมีอีกเยอะมาก
อันดับที่ 1 เอเชีย
ใกล้ๆ บ้านเรานั้น ก็จะมีที่ขึ้นเรือของ Royal Caribbean International อยู่หลาย แห่งครับ ได้แก่
- China ที่ประเทศจีนนั้น จะมีท่าเรือใหญ่ๆ อยู่ก็คือ เมืองเทียนจิน (Tianjin) และเมืองเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ซึ่งทั้งสองเมืองนี้นั้นเส้นทางจะมุ่งหน้าพาท่านๆ เที่ยวไปที่ประเทศเกาหลีและญี่ปุ่นครับ ไปเส้นนี้ก็คุ้มค่ามากครับ เที่ยว 1 ได้ถึง 3 ก็คือขึ้นเรือครั้งเดียวได้ไปทั้ง จีน เกาหลี และญี่ปุ่นครับ ซึ่งการท่องเที่ยวปกติคงเป็นไปได้ยากทีเดียวที่จะทำไห้ได้ครบแบบนี้ 
- Hong Kong เส้นทางที่ออกจากฮ่องกงนั้นส่วนใหญ่จะวิ่งไปทางแถบไต้หวันครับ หรือว่าบางทีก็อาจจะล่องไปทางโอกินาว่าของประเทศญี่ปุ่น แล้วแต่ว่าจะเป็นช่วงไหน เส้นนี้ก็เป็นอีกเส้นหนึ่งที่ตอนนี้คนไทยเริ่มไปกันมากขึ้นครับ
- Singapore การขึ้นเรือที่สิงคโปร์นั้น จะเป็นเส้นทางพาท่านไปล่องเรือทางแถบมาเลเซีย และบางเส้นอาจต่อมาถึงภูเก็ตครับ บางครั้งก็มีมาถึงแหลมฉบัง และวิ่งต่อไปถึงเวียดนามด้วยเหมือนกัน เนื่องด้วยที่ว่าเดินทางจากไทยไปได้สะดวก และเส้นทางไม่ยาวจนเกินไป จึงเป็นเส้นทางอันดับ 1 ของลูกค้าคนไทยที่ไปขึ้นเรือ Cruise เลยทีเดียวครับ
ทั้งนี้เราก็ยังมีเส้นทางอื่นๆ อีกทั่วโลกอีกเช่นกัน เช่น ตะวันออกกลาง สแกนดิเนเวีย และทริปล่องเรือรอบโลกบริการอีกด้วย
การจอง
การจองเรือนั้น ฝรั่งนิยมจองเรือกันข้ามปีเลยครับ แต่ว่าเมืองไทยนั้นสวนใหญ่จะชอบจองไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งจะทำให้ได้ราคาสูง การจองตั๋วของเรือนั้นจะคล้ายๆ กับตั๋วเครื่องบิน คือมีการแบ่งเป็นคลาสต่างๆ เช่น V3, V2, V1, E3, E2, E1 หากเราจองเร็ว เราก็จะได้คลาสที่ถูกกว่า ในลักษณะภายในห้องที่เหมือนกันทุกประการ เปรียบเสมือนที่นั่งบนเครื่องบิน ที่เก้าอี้ก็เหมือนกันแต่ทำไมคนนั่งข้างๆ เราซื้อมาหมื่นเดียว แต่เราต้องจ่ายตั้งหมื่นสอง นั่นหล่ะครับคือคลาสของราคาตั๋วที่คนที่มาก่อนย่อมได้คลาสตั๋วราคาถูกไปก่อนครับ และเนื่องจากเรือของ Royal Caribbean International ทั้ง 26 ลำนั้น แต่ละปีมีเส้นทางกว่า 700 เส้นทาง การจองนั้นจึงควรเรียงลำดับว่า 1. อยากเดินทางเส้นทางใด เอเชีย ยุโรป อเมริกา อลาสก้า 2. อยากเดินทางช่วงไหนของปี 3. หลังจากได้ข้อ 1-2 แล้ว Holiday In The Cruise ก็จะสามารถหาเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดให้กับท่านได้จากระบบหลังบ้านของเราครับ ซึ่งมีวิธีการจอง คือ "ส่งหน้าพาสปอร์ต ที่มีอายุการเดินทางเหลือนับจากวันเดินทางเกิน 6 เดือน มาที่ Holiday In The Cruise ก็เรียบร้อยแล้วครับ" จบ.....เอ๊ะง่ายไปหรือเปล่า
ราคาเด็กและเตียงเสริมเป็นอย่างไร
หัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่มีความสับสนกับการเดินทางทางเครื่องบิน และการจองห้องพักในโรงแรมครับ เนื่องจากสำหรับเครื่องบินนั้นอาจมีตั๋ว Infant สำหรับทารก หรือตั๋ว Child สำหรับเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี แต่เรือสำราญของ Royal Caribbean International นั้น ไม่เป็นอย่างนั้นครับ เด็กที่จะขึ้นเรือนั้นอายุต้องไม่ต่ำกว่า 6 เดือนบริบูรณ์ในวันที่ขึ้นเรือเป็นข้อกำหนดขั้นแรก
ตั๋วของเรือนั้นปกติแล้วจะเป็นห้องพักแบบ 2 คน ซึ่งจะมีห้องบางชนิดที่สามารถนอนได้ 3-4 คน เหมือนกัน โดยจะมีเตียงเสริมในห้องนอนไว้ให้ ทั้งนี้ จะต่างกันกับในโรงแรมที่เตียงเสริม จะถูกนำมาจากข้างนอกและเอามาวางไว้ในห้องพัก แต่ว่าเตียงเสริมในเรือสำราญนี้ จะเป็นเตียงที่ถูกติดตั้งเอาไว้ถาวรในรูปแบบเตียงที่ดึงลงมาจากเพดาน ทำให้เกิดเป็นเตียง 2 ชั้น หรือเตียงที่มาจากการปรับโซฟาเป็น Sofa Bed ซึ่งสองรูปแบบนี้จะต้องเป็นห้องที่มีเตียงเสริมติดตั้งอยู่แล้วเท่านั้น ไม่สามารถนำห้องธรรมดามาเสริมเตียงได้
ทั้งนี้ แขกท่านที่ 3 และ 4 ที่นอนเตียงเสริมจะได้รับราคาพิเศษ อาจจะเรียกได้ว่าเกือบครึ่งของราคาตั๋วปกติเลยก็ว่าได้ครับ โดยที่จะไม่เกี่ยงว่าแขกท่านที่ 3 และ 4 นั้นจะอายุเท่าไร ดังนั้นปกติแล้วเด็กจะได้รับราคาของแขกนอนเตียงเสริมนั่นเอง แต่นั่นหมายถึงว่าถ้าเป็นผู้ใหญ่อายุ 50 ปี หากนอนเตียงเสริมแล้วก็จะได้รับสิทธิ์นี้เหมือนกัน
มีคำถามที่ว่าเด็กเล็กมากไม่ต้องนอนเตียงเสริมได้ไหม แต่ให้นอนเตียงเดียวกับพ่อแม่ คำตอบคือ...
จำนวนแขกในห้องนั้น หากมีคนที่ 3 หรือ 4 เข้ามา หากอายุเกิน 6 เดือนขึ้นไป จำเป็นต้องจองห้องที่มีเตียงเสริมอยู่ในโครงสร้างด้วย มิเช่นนั้น จะไม่สามารถใส่ชื่อผู้โดยสารเข้าไปได้ และแม้ว่าเด็กจะนอนเตียงเดียวกับพ่อแม่ แต่ทางเรือก็จะคิดค่าเรือเป็นแขกท่านที่ 3 ในราคาพิเศษอยู่ดีครับ
การเลือกชนิดห้อง
ห้องในเรือนั้นจะแบ่งเป็นใหญ่ๆ ได้ 4 ชนิดครับ
1. Interior Stateroom
เป็นห้องที่มีราคาน่าคบหาที่สุดครับ เนื่องจากไม่แพง ขนาดห้องนั้นเล็กกว่าห้อง Ocean View Stateroom และ Balcony Stateroom นิดเดียว แต่เป็นห้องที่อยู่ฝั่งในของตัวเรือ จึงไม่มีหน้าต่างให้เห็นวิวด้านนอกครับ แต่ทั้งนี้เรือลำใหม่ๆ บางลำมี Virtual Balcony ซึ่งจะมีจอทีวีพิเศษที่ฉายภาพทะเลด้านนอกเข้ามาเสมือนหนึ่งเป็นระเบียงของจริงเลยทีเดียว ก็จะทำให้ห้องมีความเคลื่อนไหวมากขึ้นครับ
2. Ocean View Stateroom
เป็นห้องพักที่จะมีหน้าต่างมองเห็นข้างนอกลำเรือได้ครับ เราจะสามารถเห็นวิวทะเลได้อย่างชัดเจนครับ แต่ว่าหน้าต่างนั้นจะเปิดออกมาไม่ได้ ชมวิวได้อย่างเดียว นอกจากนั้นทุกอย่างในห้องก็เหมือนกับห้อง Interior แบบแทบจะแยกกันไม่ออกเลยทีดียว
3. Ocean View Stateroom with Balcony
หรือห้องที่เราจะเรียกกันในชื่อว่าห้อง Balcony นั่นเองครับ เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกนิดนึง และจะมีระเบียงสามารถเดินออกมาสูดลมทะเลภายนอกห้องได้ครับ ห้องชนิดนี้จะเป็นห้องที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในลำเรือ เนื่องจากความโอ่โถงและสามารถเปิดรับอากาศจากภายนอกได้อย่างเต็มที่
4. ห้อง Suite ชนิดต่างๆ
ห้อง Suite นั้น จะเป็นห้องที่แบ่งเป็นหลายระดับมากที่สุดเลยครับ มีทั้ง Junior Suite, Family Suite, Grand Suite, Royal Family Suite, Owner Suite, Royal Loft Suite ซึ่งห้องแต่ละชนิดก็จะมีความหรูหราต่างๆ กันไป ซึ่งนักเดินทางห้อง Suite นั้น ก็จะมีสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นจากลูกค้าห้องปกติอีกด้วย เช่น การ Check in ที่มีช่องทางพิเศษ, ห้องอาหารพิเศษที่ห้อง Coastal Kitchen, Bar พิเศษสำหรับลูกค้าบัตรทอง (Gold Card) โซนอาบแดดพิเศษ และส่วนลดต่างๆ ที่มีให้เมื่อมีการใช้จ่ายในเรือ และแน่นอนครับจากประสบการณ์ที่ได้บริการลูกค้าของ Holiday In The Cruise มานั้น ห้อง Suite จะเป็นห้องชนิดที่เต็มเร็วที่สุดของเรือเช่นกันครับ ซึ่งห้องที่สูงที่สุดของเรือ อาจจะมีมูลค่าสูงถึง 10 เท่าของราคาห้องธรรมดาเลยทีเดียว
การลงกลางทาง
ในบางเส้นทางนั้น ผู้เดินทางสามารถที่จะลงเรือก่อนถึงท่าเรือสุดท้ายได้ โดยที่จะต้องแจ้งความ จำนงกับ Holiday In The Cruise ไว้ก่อนด้วยนะครับ เพราะว่าต้องมีการจัดการเรื่องพิธีการตรวจคนเข้าเมือง แต่ถึงอย่างไรนั้น การลงก่อนไม่ได้ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงแต่อย่างใด เรายังจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเต็มเส้นทางอยู่ดีครับ
มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมบ้างไหม
โดยปกติค่าใช้จ่ายบนเรือนั้น จะรวมบริการระดับ Basic ไว้ทุกอย่างแล้วครับ อาหารการกิน เครื่องดื่ม การดูโชว์ กิจกรรมในร่ม กิจกรรมกลางแจ้ง จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม สิ่งที่ผู้เดินทางต้องจ่ายเพิ่มด้วยตัวเองนอกเหนือจากค่าเรือนั้นจะมี เช่น
1. ค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2. การจับจ่ายซื้อของและบริการต่างๆ ในร้านค้าบนเรือ 3. การซื้อทัวร์ลงเที่ยวเมืองท่าต่างๆ 4. คาสิโน 5. มินิบาร์ 6. ร้านอาหารพิเศษบางร้าน
จริงหรือไม่ ออกเที่ยวเรือสำราญไปหลายๆ วัน เบื่อแย่เลย
หลายๆ ท่านคิดว่าการเดินทางไปเที่ยวกับเรือสำราญเป็นเวลา 7 คืนนั้น หมายความว่าเราอยู่บนเรือตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย ซึ่งนั่นก็ไม่ถูกต้องนะครับ การเที่ยวเรือสำราญของทุกๆ ค่าย และรอยัลแคริเบียนเองนั้น มีการจอดท่าเรือเพื่อลงเที่ยวเมืองต่างๆ เกือบจะทุกวันของการเดินทาง เรืออาจจะเทียบท่าเวลา 8.00 น. เพื่อลงเที่ยวเมืองฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น และออกเรืออีกทีเวลา 20.00 น. เพื่อเดินทางไปเที่ยวยังเมืองต่อไป แต่ละวันเรามีเวลาเที่ยวในเมืองท่าต่างๆ กว่า 9-12 ชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาบนเรือเพื่อรับประทานอาหารเย็น และทำกิจกรรมต่างๆ และก็จะเป็นแบบนี้ทุกวันจนถึงวันกลับ โดยที่จะมีประมาณ 1 วัน สำหรับเส้นทาง ไม่เกิน 3 คืน และ 2 วัน และสำหรับเส้นทางที่ยาวกว่านั้น ที่เรือจะใช้เวลาในการเดินทางไกล โดยนักท่องเที่ยวจะใช้เวลาอยู่บนเรือ และเรือจะมีกิจกรรมแบบจัดเต็มตลอดทั้งวัน รับรองได้ว่าไม่เบื่อแน่นอนครับ จะบอกว่าต่อให้เราอยู่บนเรือทั้งวัน ยังไม่สามารถเล่นกิจกรรมได้ถึงครึ่งของที่เรือมีเลยก็ว่าได้
เที่ยวเรือสำราญจะเมาเรือไหม
เรือสำราญที่มีให้บริการอยู่ของ Royal Caribbean International นั้น จะมีความจุประมาณ 2,600 - 6,400 คน ขนาดระวางขับน้ำ 150,000 - 225,000 ตัน ยาวกว่า 200 - 300 เมตร สูงเท่าตึก 15 ชั้น จากประสบการณ์ที่พานักท่องเที่ยวไปเที่ยวเรือสำราญมาตลอด 4 ปีนั้น 98% นั้นไม่มีอาการเมาเรือ จะมีอยู่น้อยมากที่รู้สึกถึงอาการเมา เรือขณะวิ่งนั้นนิ่งเหมือนนั่งอยู่ในอาคารบนบกเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ก็ยังมีอาการให้เห็นอยู่บ้างประมาณ 2% ของผู้เดินทาง แต่ในเรือนั้นก็จะมีห้องแพทย์ ซึ่งจะมียาแก้เมาตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับบริการแขกทุกท่านพร้อมเสมอครับ
การเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง
การเที่ยวเรือสำราญก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับการเที่ยวทางบกปกติครับ เพียงแต่โรงแรมที่เราอยู่นั้น มันลอยน้ำได้ และพาเราไปเมืองต่างๆ ได้นั่นเอง การเก็บกระเป๋าก็ไม่ต่างกันเช่นกันครับ ก็อาจจะดูการพยากรณ์อากาศก่อนการเดินทางสักหน่อย เพื่อที่จะได้เตรียมชุดไปให้เหมาะกับสภาพอากาศของเมืองนั้นๆ ได้ แต่เมื่ออยู่ในเรือก็จะมีอุณหภูมิที่เหมาะสมตลอดเวลาครับ เพราะมีระบบปรับอากาศที่ปรับให้สบายๆ กับนักท่องเที่ยวทั่วไป ต่อให้ข้างนอกร้อนหรือหนาวแค่ไหน เข้ามาในเรืออากาศก็เย็นสบายๆ พอดีๆ ครับ
ขั้นตอนการ Check in ขึ้นเรือ
เมื่อเราได้ทำการจองเรือสำราญกับ Holiday In The Cruise แล้ว เราก็จะมีบริการทำ Online Check in ให้ ซึ่งก็จะได้เอกสารที่เรียกว่า Set Sail Pass เพื่อใช้ในการ Check in เข้าเรือ เปรียบเสมือน Boarding Pass ของเครื่องบินนั่นเอง เมื่อเราเดินทางถึงท่าเรือต้นทาง ก็สามารถนำกระเป๋าเดินทางไปวางไว้ที่ Bag Drop Area พนักงานก็จะขอดู Set Sail Pass เพื่อดูหมายเลขห้อง เพื่อที่จะตรวจสอบกับ Tag กระเป๋าสำหรับการนำส่งกระเป๋าขึ้นไปที่ห้องพักของท่านต่อไป หลังจากนั้นเราก็เดินตัวปลิวเข้าไป Check in ได้เลย ระหว่าง Check in นั้น เราก็นำ Set Sail Pass ไปให้ที่เคาน์เตอร์เพื่อทำการออกบัตรที่เรียกว่า Sea Pass Card ซึ่งบัตรนี้จะเป็นทั้ง 1. Key Card เพื่อเปิดประตูห้อง 2. บัตรเงินสดเพื่อใช้จ่ายบนเรือ 3. เป็น ID เพื่อแสดงตัวตนของเราในการขึ้นและลงเรือ เมื่อได้บัตรแล้วก็เดินทางไปขั้นตอนต่อไปได้เลยครับ ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีการตรวจเช็ควีซ่าว่าเราทำถูกประเภทมาด้วยหรือเปล่า ถ้าทำมาผิดประเภทจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเรือนะครับ (อ่านเพิ่มเติมเรื่องวีซ่าได้ที่หัวข้อ "ข้อควรระวัง" ทางด้านล่างนี้ หรือติดต่อสอบถามมาที่ Holiday In The Cruise โทร. 02-1961850 ได้ครับ เพื่อความมั่นใจในการเดินทาง)
หลังจากได้บัตร Sea Pass Card เราจะต้องมีการผ่าน ตม. หรือ Immigration ของประเทศนั้นๆ ตามพิธีการปกติ เพราะเรือปกติแล้วในเส้นทางจะมีการเดินทางออกจากน่านน้ำประเทศต้นทาง เช่น เส้นสิงคโปร์ก็จะไปมาเลเซีย เส้นจีนก็จะไปญี่ปุ่น เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ก็จะมีการผ่าน ตม. ด้วยครับ เมื่อผ่าน ตม. มาแล้ว เราก็ขึ้นเรือไปได้เลยครับ ก่อนขึ้นอย่าลืมถ่ายรูปกับเรือด้วยหล่ะ เพราะว่าเส้นทางเดินไปขึ้นเรือส่วนใหญ่แล้วจะได้มุมที่สวยที่สุดในการถ่ายรูปกับเรือ เดี๋ยวเดินผ่านไปแล้วจะออกมายากนะครับ จะหาว่าเราไม่เตือน หุๆๆๆ
การใช้ชีวิตท่องเที่ยวบนเรือสำราญ
บนเรือของ Royal Caribbean International นั้น มีกิจกรรมเรียกได้ว่าเยอะสุดๆ ในสามโลกเลยครับ เรียกว่าตลอด 24 ชั่วโมงเลยก็ว่าได้ อาทิเช่น
1. ดูโชว์ต่างๆ ที่มีการแสดงที่เปลี่ยนไปเรื่องๆ ในแต่ละวัน 2. เข้าคลาสความรู้สนุกๆ ต่างๆ 3. กีฬา Basket ball, Table Tennis, Mini golf, Ice Skate, ปีนผาจำลอง ฯลฯ 4. สปา และบริการเสริมสวย 5. สระว่ายน้ำ และ Jacuzzi 6. Casino 7. ฟิตเนส, โยคะเพื่อสุขภาพ 8. ห้องสมุด มุมอ่านหนังสือ 9. ช้อปปิ้งสินค้า Duty Free 10. Photo Booth 11. คาราโอเกะ 12. เกมส์โชว์
การทานอาหารบนเรือ
บนเรือของ Royal Caribbean International นั้น จะมีอาหารบริการ เรียกได้ว่าจัดเต็มที่สุดในท้องทะเล เป็นภัตตาคารลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ครับ เรือแต่ละลำจะมีห้องอาหารที่มีชื่อเรียกเหมือนกันแบ่งได้ตามนี้ครับ
ห้องอาหารที่ไม่มีค่าใช้จ่าย
- ห้องอาหารบุฟเฟต์ชื่อ "Wind Jammer" ที่เปิดทั้งมื้อเช้า กลาง วัน เย็น
- ห้อง Main Dining Hall ซึ่งเป็นอาหารแบบ Course Menu ที่สามารถเลือกสั่งได้ตามใจชอบ ทานเท่าไรก็ได้เช่นกัน เรียกว่าน้ำหนักขึ้นกันรัวๆ เลยทีเดียวเชียว
- อีกทั้งยังมีห้อง Promanade Cafe ที่บริการ Snack ตลอด 24 ชั่วโมง
- Sorrento เป็นร้านบริการ Pizza แบบจัดเต็ม หยิบกี่ชิ้นก็ได้ครับ หลังจากนั้นก็อาจต้องเจียดเวลาไปเผาผลาญพลังงานกันที่ฟิตเนสกันเอาเอง (ส่วนบางท่านก็ไปเผาผลาญพลังงานกันในคาสิโน เราก็ว่ากันไป)
- Coastal Kitchen ที่เป็นห้อง Main Dining สำหรับลูกค้าห้อง Suite ครับ อาหารก็จะใช้วัตถุดิบที่ต่างกับห้องอาหารธรรมดา แน่นอนครับว่าอร่อยมากๆ ไปแอบลองมาแล้ว ^^
ห้องอาหารที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
จะเป็นห้องอาหารพิเศษต่างๆ ที่จะมีการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ เช่น
- ร้าน Chops Grill เป็นร้านแนวร้าน Steak ที่มีเนื้อคุณภาพดีบริการท่านด้วยเมนูที่หลากหลาย
- ร้าน Izumi Asian Cuisine เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่เลือกใช้วัตถุดิบสดใหม่ตลอดเวลา แน่นอนว่าเราอยู่ในทะเล อาหารจานปลานี่สด มากจริงๆ ครับ
- Giovanni’s Table ร้านอาหารอิตาเลี่ยนกลางทะเล
- Jamie Italian เป็นร้านอาหารจากเชฟชื่อดัง "Jamie Oliver" ครับ ซึ่งจะมีสาขาอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ของโลก และพึ่งเปิดที่สยามได้ไม่นาน ตอนนี้ได้มาอยู่บนเรือของ Royal Caribbean International เรียบร้อยแล้ว และด้วยราคาที่เป็นราคาเหมาเพียงประมาณ 30 USD เราสามารถสั่งเมนูใดก็ได้ เท่าไรก็ได้ คุ้มสุดคุ้มครับ ถ้าหากทานสาขาสยามจะต้องสั่งทานเป็นจานๆ ไปครับ
- Starbuck คอกาแฟตราเงือกสามารถใช้บริการได้ตลอดทริปเลยครับ
- Vintage Wine Bar เป็นร้านไวน์ที่มีให้ท่านเลือก และลองชิมไวน์จากทั่วโลกได้กว่าร้อยรายการ
การใช้ Pocket WIFI และ Internet กับการเที่ยวเรือสำราญ
Pocket WIFI ในทุกๆ ประเทศนั้นเป็นการแปลงสัญญาณ Internet ของโทรศัพท์มากระจายเป็น WIFI ให้เราได้ใช้กัน ซึ่งสัญญาณนั้นจะคลอบคลุมไปถึงบริเวณชายฝั่งและไกลออกไปในทะเลอีกไม่กี่กิโลเมตร ดังนั้นหากว่าเรือของเราเดินทางออกจากท่าเรือเพื่อมุ่งหน้าไปอีกเมืองหนึ่งนั้น สัญญาณของ Pocket WIFI ก็จะหายไปครับ ทำให้เราใช้ Internet จาก Pocket WIFI ของเราไม่ได้ เมื่อเรือสำราญของเราเดินทางออกมาไกลจากฝั่งระยะหนึ่งครับ ดังนั้นบนเรือสำราญของ Royal Caribbean International จึงมีบริการ Internet ให้กับนักท่องเที่ยวทุกๆ คนบนเรือ ก็จะมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามแพ็กเกจที่เราจะเลือกครับ ก็จะมีทั้งโปรสำหรับใช้ 1 เครื่องไปจนถึง 4 เครื่อง ซึ่งแต่ละเครื่องก็จะได้รับ User และ Password ที่ต่างกันออกไป แล้วแต่ละคนครับ ราคาก็เริ่มต้นตั้งแต่ 12 USD ต่อวันต่อเครื่อง หากซื้อ 4 เครื่อง ราคาก็จะลดหลั่นกันลงไปจนถึงประมาณ 9 USD ต่อวันต่อเครื่อง เรียกได้ว่าประมาณ 350 บาทต่อวันนั้น ก็ไม่ถึงกับแพงจนเกินไปกับการได้ Live มาให้เพื่อนๆ ที่เมืองไทยได้อิจฉาเล่นจริงไหมครับ
"วีซ่า" ข้อควรระวังก่อนการเที่ยวเรือสำราญ
"วีซ่า" เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของการเดินทางเลยครับ การขึ้นเรือนั้นเส้นทางส่วนใหญ่จะเดินทางออกไปต่างประเทศด้วย ยกตัวอย่างเช่น เส้นทางจีน (เซี่ยงไฮ้) - ญี่ปุ่น (ฟูกุโอกะ) - จีน (เซี่ยงไฮ้) 4 วัน 3 คืน เราจะต้องเดินทางไปขึ้นเรือที่ประเทศจีน ซี่งโดยทั่วไปแล้วเดินทางจากไทย ก็จะไปทางเครื่องบินกันจริงไหมครับ การเข้าประเทศจีนทางเครื่องบินนั้น นับเป็นการเข้าครั้งที่ 1 จากนั้นเราก็จะขึ้นเรือเพื่อเดินทางออกจากประเทศจีนไปยังประเทศญี่ปุ่น ณ ขณะนี้เราได้เดินทางออกจากประเทศจีนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นขากลับเรือจะพาเราเดินทางจากญี่ปุ่นกลับเข้าประเทศจีนอีกรอบ นับเป็นการเข้าครั้งที่ 2 ดังนั้นทริป จีน (เซี่ยงไฮ้) - ญี่ปุ่น (ฟูกุโอกะ) - จีน (เซี่ยงไฮ้) 4 วัน 3 คืน นั้น เราต้องเตรียมทำวีซ่าเข้าประเทศจีน แบบ Double Entry หรือแบบเข้าออก 2 ครั้งนั้่นเอง การที่เรามีวีซ่าแบบเข้าออกครั้งเดียว หรือ Single Entry Visa นั้น จะทำให้เราถูกปฎิเสธการขึ้นเรือตั้งแต่ต้นทางโดยทันที ไม่มีข้อยกเว้น เรียกว่าแพ็คกระเป๋ากลับบ้านกันเลยทีเดียวเชียว ในขณะเดียวกันนั้น หากเป็นการเดินทางที่ยุโรป เราต้องเลือกที่จะขอวีซ่าเป็นประเภท Multiple Entry เท่านั้น เนื่องจากมีการเข้าออกจาก Port หลายๆ ประเทศเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางท่องเที่ยวทางเรือสำราญที่ผมอยากจะแนะนำให้กับทุกท่านทราบครับ ขอบคุณที่ร่วมเดินทางกันมาจนถึงย่อหน้าสุดท้าย การเดินทางท่องเที่ยวทางเรือสำราญนั้น สนุกและสะดวกสบายมาก ก็อยากจะแนะนำให้รู้จักกัน และหวังว่าจะได้ให้บริการทุกท่านในโอกาสต่อไปนะครับ
White Logo
เลขที่ใบอนุญาต : 11/07645
แบรนด์เรือสำราญ
เวลาเปิดทำการ
Holiday In The Cruise | Copyright 2020. All Rights Reserved.