Social Share:
ครั้งหนึ่งในชีวิต
Once In A Lifetime
“มหาพีระมิด”
ยิ่งเห็นอดีตไกลเท่าไร ยิ่งรู้สึกว่าตัวเล็กลง
หากเราลองหมุนเข็มนาฬิกาย้อนอดีตกลับไปเมื่อ 4,620 ปีมาแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยและค้างคาใจกับปริศนาแห่ง “มหาพีระมิด” เพราะเหตุใด? ทำไม? อย่างไร? ฯลฯ ทุกๆ คำถามล้วนต้องการการไขปริศนาแห่งคำตอบ ถึงแม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถให้เหตุผลในเรื่องนี้ได้ก็ตาม สงสัยกันไหมเอ่ย? ว่าในยุคสมัยโบราณกาลนั้นสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกอย่างพีระมิดก่อสร้างขึ้นมาได้ยังไง ทั้งๆ ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไม่มีเลยด้วยซ้ำ หากเราลองคิดตามดูจะเห็นว่า การวางและเรียงก้อนหินสูงด้วยแรงของคนนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยทีเดียว และหากวางผิดล็อกหรือไม่เข้าเหลี่ยมกันจะเสี่ยงต่อการที่พีระมิดจะถล่มลงมาขนาดไหน ดินแดนเสน่ห์แห่งอาหรับโบราณแห่งนี้เชิญชวนทุกคนให้ไปสัมผัสสักครั้งในชีวิตผ่านตำนานอันน่าพิศวง
“มหาพีระมิด” หรือ หมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza) เป็นพีระมิดเก่าแก่ในประเทศอียิปต์ เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัยฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่งราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งประกอบด้วย พีระมิดคูฟู (Khufu) พีระมิดคาเฟร (Khafre) และพีระมิดเมนคูเร (Menkaure) ซึ่งทั้งสามพีระมิดถูกสร้างตั้งเรียงกันเป็นแนวตามลำดับ โดยทั้งสามพีระมิดจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างในเรื่องความสูง ขนาดของฐาน ประเภทของหิน และสาเหตุที่สร้าง เรียกได้ว่าหากใครเคยดูหนังเรื่อง The Mummy Returns ภาคต่อของ The Mummy จะเข้าใจและนึกภาพออกเลยว่าเป็นยังไง น่าค้นหาขนาดนี้อย่าลังเลใจที่จะไปสัมผัสกันสักครั้ง “ยิ่งเห็นอดีตไกลเท่าไร ยิ่งรู้สึกว่าตัวเล็กลง” ถ้อยคำนี้ยังคงจริงแท้เสมอ...
“แมทเธอฮอร์น (The Matterhorn)” 
ความงดงามเหนือกาลเวลาแห่งแอลป์
เมื่อพูดกันถึงของสวยๆ งามๆ หลายคนอาจจะคิดถึงเครื่องประดับราคาแพงหรืออัญมณีหรู แต่สำหรับเราคำว่า “ความงดงาม” มันมีอะไรที่ซ่อนอยู่มากกว่านั้น ทุกคนลองนึกภาพตามถึงบรรยากาศและทัศนีภาพความงดงามท่ามกลางยอดเขาหิมะขาวโพลนตลอดปี รายล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้าอันเขียวขจี แว่วเสียงสัตว์ป่าน้อยใหญ่ และสัมผัสกับกลิ่นอายความหนาวของธารน้ำแข็ง.. เป็นไงกันบ้าง? เหนือสิ่งอื่นใดจะพาทุกคนไปพบกับ “แมทเธอฮอร์น (The Matterhorn)” ความงดงามเหนือกาลเวลาแห่งแอลป์ ยอดเขาสูงตระหง่านในสวิตเซอร์แลนด์ หนึ่งในภูเขาที่สูงที่สุดแห่งเทือกเขาแอลป์ที่สูงถึง 4,478 เมตร และเป็นชื่อที่หลายคนรู้จักกันดี อีกหนึ่งเสน่ห์ที่อยู่ในใจของนักเดินทาง ที่จะต้องไปให้ถึงสักครั้งช่วงในชีวิต
แล้ว “แมทเธอฮอร์น” เกิดขึ้นได้ยังไงกันนะ? มาถึงตอนนี้แล้วเชื่อว่าหลายๆ คนเริ่มอยากรู้กันแล้วใช่ไหมล่ะ ย้อนเวลาไปเมื่อ 50 ล้านปีก่อน ได้เกิดการเคลื่อนตัวและชนกันระหว่างแผ่นเปลือกโลก ซึ่งคือทวีปแอฟริกาและทวีปยุโรปในปัจจุบัน ทำให้เกิดการบดขยี้ของธารน้ำแข็งรอบๆ ภูเขาสองลูกคือยอดเขาแมทเธอฮอร์นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์และยอดเขามอนสเตโรซาในประเทศอิตาลี จนท้ายที่สุดเกิดเป็นข่าวดังออกไปทั่วโลก ทำให้นานาประเทศทั่วโลกต่างแย่งชิงกัน เพื่อที่จะนำมาเป็นสัญลักษณ์ของตน แต่อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าข่าวอันโด่งดังนี้ได้ส่งอิทธิพลต่อกลุ่มนักเดินทาง จนกลายเป็นแรงกระตุ้นให้พวกเขาเข้าไปพิสูจน์กับความท้าทาย เพื่อที่จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ จนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้น เมื่อพวกเขาเหล่านั้นต้องจบชีวิตลง ถึงแม้ว่า “แมทเธอฮอร์น” จะงดงามสักเพียงใด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายว่ามันจะไม่มีอันตรายแอบแฝงอยู่ เฉกเช่นดอกกุหลาบสีแดงสดที่พรั่งบาน แต่ไม่ไร้ซึ่งหนามอันแหลมและคม ฉันใดก็ฉันนั้น...
“Tapolca Lake Cave” 
ความลับของโลกใต้ดิน
ดิน น้ำ ลม ไฟ สี่ธาตุที่ทุกคนก็รู้จักกันดี แต่ก่อนที่จะไปถึงทั้งสี่ธาตุ วันนี้เรามาพูดกันถึงธาตุดินและธาตุน้ำกันก่อน ดินและน้ำสามารถอยู่ร่วมกันได้ ดังถ้ำหินปูนที่อยู่กลางทะเลสาบในประเทศฮังการี ที่สามารถพึ่งพาอาศัยอยู่ร่วมกันมาได้กว่าหลายร้อยปี เหนือความสามารถของมนุษย์ก็คือเหตุผลในการสร้างของธรรมชาตินี่แหละ ซึ่งแน่นอนว่าก่อนที่ถ้ำแห่งนี้จะโด่งดังเป็นที่รู้จักและกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต ก็ต้องมีที่มาที่ไปกันหน่อย บ้างก็ว่าเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็ว่าเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ทรงศีลหรือสิ่งเร้นลับ ฯลฯ ว่ากันไปต่างๆ นานา
“Tapolca Lake Cave” สามารถพายเรือเข้าไปชมได้จริงหรือ? คำตอบคือ “ได้สิ” เพราะประเทศฮังการีได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เพื่อสัมผัสถึงความงดงามของถ้ำหินปูน ตื่นเต้น และทึ่งไปกับแสงที่ลอดผ่านเข้ามาในถ้ำกระทบผิวน้ำ ทำให้เห็นน้ำใสสะอาดกลายเป็นสีเขียวมรกต ซึ่งสวยงามเอามากๆ เลยทีเดียว นอกจากนี้ผู้ที่มาเยือนหรือนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมนิทรรศการที่จัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับความลับของโลกใต้ดินได้ที่ Balaton Uplands National Park ซึ่งจะขยายภาพกว้างของถ้ำให้เราได้ตื่นตาตื่นใจผ่านการจำลองโรงภาพยนตร์ในรูปแบบ 3D เรียกได้ว่าผู้ที่ชื่นชอบความสนุกจากการผจญภัยแนวนี้ต้องร้องกรี๊ดกันแน่นอน...
“ทุ่งลาเวนเดอร์ใน Tihany”
สัมผัสเสน่ห์แห่งธรรมชาติ ท่ามกลางทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงคราม
เชื่อเหลือเกินว่าหลายๆ คนคงตกหลุมรักในธรรมชาติ ทัศนียภาพท่ามกลางความงดงาม ดื่มด่ำกับอากาศอันปลอดโปร่ง พร้อมรับพลังงานบวกในการใช้ชีวิต เมือง Tihany นอกจากจะเป็นเมืองที่เก่าแก่และสุดแสนจะโรแมนติกแล้ว เมืองแห่งนี้ยังโด่งดังกับทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงครามที่สวยงามขนาดใหญ่ เราขอแนะนำทุ่งลาเวนเดอร์ที่มีชื่อเสียงในประเทศฮังการี ซึ่งในช่วงกลางเดือนมิถุนายนของทุกปีจะมีเทศกาลทุ่งลาเวนเดอร์ ทำให้บริเวณนั้นจะถูกปกคลุมไปด้วยสีม่วงของดอกลาเวนเดอร์งดงามสะดุดสายตา บวกกับท้องฟ้าสีสดใส เป็นภาพที่งดงามเกินบรรยาย จนต้องหยิบกล้องออกมาแชะภาพเก็บกลับไปอวดเพื่อนๆ กันแน่นอน
“ทุ่งลาเวนเดอร์ใน Tihany (The lavender fields in Tihany)” มนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้อันน่าหลงใหล ด้วยความงดงามและกลิ่นหอมๆ ของดอกไม้ที่ลอยตลบอบอวน ทำให้สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวได้อย่างล้นหลาม การดื่มด่ำกับการเฉลิมฉลองที่สนุกสนานนี้จะทำให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์ส่วนตัวของวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศ นอกจากจะได้เห็นความงดงามและกลิ่นหอมๆ ของดอกลาเวนเดอร์แล้ว ที่นี่ยังมีการเก็บเกี่ยวดอกลาเวนเดอร์ ซึ่งจะถูกนำไปแปรรูปเป็นน้ำมันหอมระเหยไว้คอยให้คุณได้ซื้อเป็นของฝากอีกด้วย..
“Museo de Arte de Puerto Rico”
พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนแคริบเบียน
หากย้อนเวลากลับไปรำลึกถึงผลงานระดับครูแห่งศิลปะหรือผลงานด้านประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า ผลงานหรือจินตนาการแห่งความคิดของคนในสมัยอดีตนั้นทรงอิทธิพลทางด้านจิตใจมากจริงๆ ใครจะรู้ล่ะว่า เพียงแค่เราได้เห็นภาพๆ นึงที่ถูกวาดหรือขีดเขียนผ่านการเล่าเรื่องราวและการสร้างสรรค์ทางความคิดของศิลปิน จะทำให้เราเสียน้ำตาหรือบีบคั้นหัวใจจนต้องรู้สึกหมองเศร้าตาม วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ “Museo de Arte de Puerto Rico” พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนแคริบเบียน ซึ่งรวบรวมผลงานศิลปะเปอร์โตริโกที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีผู้เยี่ยมชมหลั่งไหลมาจากทั่วโลกและเป็นที่รู้จักดีของเหล่าบรรดานักศิลปิน
สายชื่นชอบพิพิธภัณฑ์ต้องที่นี่เลยค่ะ.. “พิพิธภัณฑ์ Museo de Arte de Puerto Rico” ตั้งอยู่ในอาคารสไตล์นีโอคลาสสิคที่ดูโอ่อ่าภูมิฐาน และเป็นที่เก็บรักษาผลงานศิลปะ คุณจะเดินชมนิทรรศการต่างๆ ด้วยตัวเองหรือจะเข้าร่วมทัวร์นำชมเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ได้เห็นอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นก็ได้ ซึ่งผู้นำชมคือนักประวัติศาสตร์ศิลปะที่ได้รับการอบรมมาโดยเฉพาะ และมีการบรรยายทั้งในภาษาอังกฤษและสเปน เชิญคุณเดินเที่ยวชมสิ่งจัดแสดงถาวรของพิพิธภัณฑ์เพื่อเสพงานศิลป์เก่าแก่จากทั่วเปอร์โตริโก ซึ่งนิทรรศการอันหลากหลายนั้นครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จวบจนปัจจุบัน และไฮไลท์อีกอย่างนึงของที่นี่คือ สวนอันกว้างใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ คุณจะพบกับพืชพรรณท้องถิ่นหลากหลาย เหมาะสำหรับมาปิกนิกหรือจะแค่มาพักผ่อนเพื่อรับไอแดดอุ่นๆ เรียกได้ว่าสาวก “พิพิธภัณฑ์” ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ..
“เทือกเขาซารางก็อต (Sarangkot)”
เยี่ยมชมความศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนแห่งขุนเขา
อีกหนึ่งเส้นทางน่าสนใจสำหรับนักเที่ยวสายลุยที่อยากไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ และชมความสวยงามของธรรมชาติก็ต้องยกให้ “ประเทศเนปาล” ดินแดนแห่งภูเขาสวยอย่างยอดเขาเอเวอเรสต์ที่เต็มไปด้วยความน่าค้นหา ทั้งผู้คน บ้านเมือง ศาสนา วัฒนธรรม และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ความงดงามที่ว่านี้มีอยู่ที่ “เมืองโพคารา” ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองกาฐมาณฑุ ห่างกันประมาณ 200 กิโลเมตร เป็นเมืองที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกเมืองหนึ่งของเนปาล ด้วยมีธรรมชาติที่สวยงามราวกับดินแดนในเทพนิยายเลยทีเดียว ทิวทัศน์ของหุบเขาสูงใหญ่ ปกคลุมด้วยหิมะสีขาว สะท้อนเงาลงสู่ทะเลสาบในเมืองโพราคาอย่างงดงาม พร้อมกับบรรยากาศเงียบสงบ เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวอยากจะมาสัมผัสกันให้ได้สักครั้ง ซึ่งนอกจากธรรมชาติที่สวยงามแบบสุดๆ แล้ว วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ยังเรียบง่าย น่าประทับใจมากๆ อีกด้วย
มาถึงจุดนี้.. คิดว่าหลายๆ คนคงอดใจไม่ไหว อยากจะรู้จักเทือกเขานี้กันให้มากยิ่งขึ้น “เทือกเขาซารางก็อต (Sarangkot)” เป็นอีกหนึ่งจุดชมเทือกเขาหิมาลัยที่ดีที่สุดในเนปาลที่สามารถมองเห็นยอดเขาที่สวยและสูงที่สุดของเทือกเขาหิมาลัยได้ 3 ที่ ซึึ่งก็คือ ยอดเขาอันนาปูรณา 2 ยอด และยอดเขามัจฉาปูชเร (ยอดเขาหางปลา) โดยยอดเขาเหล่านี้ติด 1 ใน 10 ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าที่สวยงามสุดๆ แสงแดดจะสะท้อนกับเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุม และยังมีวิวแม่น้ำเซติที่ด้านล่างอีกด้วย ใครเป็นสายธรรมชาติต้องมาชมด้วยตัวเองให้ได้สักครั้ง!! ว่างแล้วเชิญแวะมาเยี่ยมชมความศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนแห่งขุนเขากันค่ะ..
“ท่าเรือนูฮาวน์ (Nyhavn)”
หวนรำลึกประวัติศาสตร์ไปกับดินแดนแห่งปราสาทและพระราชวัง
รู้กันหรือไม่ว่าท่าเรือสำราญที่เป็นแลนมาร์กสุดฮอตในประเทศเดนมาร์กมีที่มายังไง? ท่าเรือนูฮาวน์เป็นท่าเรือเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโคเปนเฮเกน ไม่ว่าคุณจะมาเพื่อเดินเล่นถ่ายภาพ มาเดินชมสถาปัตยกรรม หรือมาแวะหาความสำราญ ท่าเรือโบราณแห่งนี้ล้วนตอบโจทย์ คุณจะพบมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ตั้งแต่สะพานข้ามแม่น้ำไปจนตลอด 2 ฝั่งคลอง ได้เดินชมสถาปัตยกรรมสวยๆ ของหมู่ตึกโบราณสีสันสดใส และคฤหาสน์หรูหราที่ตั้งเรียงรายอยู่ตามลำคลอง ได้ดื่มด่ำกับร้านอาหาร ร้านเบียร์ ร้านขนม และอีกมากมาย ยิ่งช่วงพลบค่ำ บรรยากาศแถวนี้ยิ่งโรแมนติกสุดๆ และสิ่งสุดท้ายห้ามพลาด คือการมาคล้องกุญแจคู่รักบนสะพานข้ามท่าเรือนูฮาวน์ (Nyhavn) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของรักที่อมตะยืนยาว เหมือนกับอายุของท่าเรือและสะพานแห่งนี้ ก็มันสร้างมาตั้ง 338 ปีแล้วนี่นา.. 555
“ท่าเรือนูฮาวน์ (Nyhavn)” ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของตัวเมือง ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 17 ตามประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 5 ทรงรับสั่งให้สร้างท่าเรือใกล้ๆ ตัวเมืองหลวง เพื่อให้สะดวกง่ายต่อการขนย้ายสินค้า และใช้เป็นท่าเรือพาณิชย์สำหรับเรือจากทั่วทุกมุมโลกมาเทียบท่า โดยได้สั่งให้เชลยสงครามชาวสวีเดน ช่วยกันขุดคลองเพื่อใช้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าจากตัวเมืองชั้นในออกสู่ทะเล และตั้งชื่อท่าเรือแห่งนี้ว่า “นูฮาวน์ (Nyhavn)” ที่แปลว่า “ท่าเรือใหม่” เมื่อความมั่งคั่งทำให้เมืองขยาย โคเปนเฮเกนก็ได้รับการยกระดับขึ้นเป็น “เมืองหลวง” ในที่สุด ปัจจุบัน “ท่าเรือนูฮาวน์” คือ ย่านที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวโคเปนเฮเกน ในวันอากาศดีๆ ถือเป็นศูนย์รวมของนักท่องเที่ยว สามารถเลือกทานอาหาร ชมบรรยากาศชิลๆ หรือล่องเรือชมเมืองและอ่าวก็ได้ค่ะ เพราะริมสองฝั่งแม่น้ำนั้นมีอาคารบ้านเรือนสีสันสดใส ทั้งสีเหลือง สีแดง สีส้ม สีน้ำเงิน ใครเห็นภาพบ้านเรือนริมท่าเรือนูฮาวน์ในหนังสือหรือโปสการ์ดก็ต้องรู้เลยว่าที่นี่คือโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก..
“ถ้ำน้ำแข็งคริสตัล Crystal Ice Cave”
ดื่มด่ำความสวยงามราวกับอัญมณี
ไหนมีใครที่ชื่นชอบอากาศหนาวบ้างคะ? สำหรับนักเดินทางที่ชื่นชอบความหนาวเหน็บท่ามกลางน้ำแข็งแบบฟินๆ เราขอแนะนำอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย ถ้าคุณชื่นชอบอากาศหนาวเป็นชีวิตจิตใจแล้วละก็ วันนี้เรามีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีอากาศหนาวมาแนะนำกันค่ะ สถานที่นั้นก็คือ “ถ้ำน้ำแข็งคริสตัล Crystal Ice Cave” แห่งไอซ์แลนด์ นั่นเอง ซึ่งการเข้าไปชมความงดงามของถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้ต้องอาศัยความปลอดภัยเป็นอย่างมากในช่วงฤดูหนาว ส่วนความโดดเด่นของถ้ำคือ การที่ผนังถ้ำมีก้อนน้ำแข็งสีฟ้าอ่อนเกาะติดอยู่เมื่อผลึกของน้ำแข็งกระทบกับแสงที่ส่องสว่างเข้ามาในถ้ำ ทำให้ก้อนน้ำแข็งเหล่านั้นสวยงามราวกลับคริสตัลที่มีราคาแพง เป็นความงดงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์อย่างลงตัว
“ถ้ำน้ำแข็งคริสตัล Crystal Ice Cave” เป็นถ้ำน้ำแข็งที่สวยงามตระการตาในเมืองสตัฟทาเฟล ที่เกิดในทะเลสาบแช่แข็งจากการก่อตัวของหิมะที่ทับถมกัน จนเป็นภูเขาน้ำแข็งกันเป็นเวลานานหลายพันปีเลยล่ะค่ะ เป็นทะเลสาบที่เกิดจากธารน้ำแข็งสวีนาเฟลล์โจกุล (Svínafellsjökull Glacier) โดยถ้ำแห่งนี้มีปากถ้ำที่เป็นปล่องน้ำแข็งสูงประมาณ 22 ฟุต แต่เนื่องจากสภาพอุณหภูมิที่ค่อนข้างมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย รูปแบบของถ้ำน้ำแข็งจึงไม่ค่อยแน่นอน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในช่วงฤดูหนาวสภาพภูมิอากาศจะอยู่ที่อุณหภูมิประมาณลบ 25 ถึงลบ 30 องศาเซลเซียส ว่ากันว่า.. ที่นี่เป็นถ้ำน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุด และเป็นถ้ำน้ำแข็งสีฟ้าครามที่สวยงามสุดอลังการแห่งหนึ่งในประเทศไอซ์แลนด์ ด้วยความใสดังแก้วคริสตัลของน้ำแข็งและการตกกระทบของฟ้าสีคราม ทำให้เกิดถ้ำน้ำแข็งสีสันสวยงามราวกับอัญมณี ที่เมื่อได้เห็นแล้วจะต้องตกตะลึงกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอย่างแน่นอนค่ะ
“น้ำตกเซลยาลันฟอสส์ (Seljalandsfoss)”
มนต์เสน่ห์เหนือกาลเวลา
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทะเล ภูเขา ป่า และน้ำตก เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวในใจของใครหลายๆ คน แต่ไม่ว่าจะชื่นชอบลักษณะการเที่ยวแบบไหน เชื่อเลยว่าทุกคนล้วนต้องมีเหตุผลว่าทำไมถึงชื่นชอบอย่างแน่นอน วันนี้ขอนำเสนอ “น้ำตกเซลยาลันฟอสส์ (Seljalandsfoss)” น้ำตกที่เปรียบเสมือนมนต์เสน่ห์เหนือกาลเวลาในประเทศไอซ์แลนด์ สำหรับนักเดินทางที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวในลักษณะของการผจญภัยไม่ควรพลาดกันเลยค่ะ น้ำตกแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างเมืองเซลฟอส (Selfoss) กับเมืองสโคคาร์ฟอสส์ (Skogafoss) เป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศไอซ์แลนด์ ชนิดที่ว่าแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของไอซ์แลนด์เลยล่ะค่ะ เพราะที่นี่มีความสวยงามสูงประมาณ 60 เมตร เมื่อสายน้ำจากด้านบนไหลลงมาปะทะกับผืนน้ำด้านล่าง ทำให้เกิดละอองน้ำบางๆ ฟุ้งกระจายไปทั่ว นับเป็นภาพที่สวยงามเกินบรรยายจริงๆ..
“น้ำตกเซลยาลันฟอสส์ (Seljalandsfoss)” เป็นเพียงน้ำตกไม่กี่แห่งในไอซ์แลนด์ที่สามารถเดินไปด้านหลังได้ ซึ่งสามารถมองเห็นวิวน้ำตกได้ถึง 360 องศา จึงเป็นที่นิยมของบรรดาช่างภาพทั้งมือสมัครเล่น มืออาชีพ และนักท่องเที่ยว มาถ่ายภาพเก็บความประทับใจกันมากที่สุดในประเทศเลยล่ะค่ะ โดยส่วนมากจะมาถ่ายพระอาทิตย์ตกกัน เพราะพระอาทิตย์จะทำมุมพอดีโรแมนติดสุดๆ เลย และยังเป็นจุดพักรถเพื่อเดินทางไปชื่นชมสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ของไอซ์แลนด์อีกด้วยค่ะ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ในช่วงฤดูร้อน ระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมจะเป็นฤดูท่องเที่ยว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการไปเที่ยวที่นี่คือช่วงเช้าและเย็นๆ ที่นักท่องเที่ยวจะได้ใช้เวลาดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพที่สวยงามแบบสบายๆ และนักท่องเที่ยวไม่แออัดจนเกินไป เรียกได้ว่าใครที่ชื่นชอบ “น้ำตก” ที่นี่คืออีกหนึ่งสวรรค์ที่เราขอแนะนำเลยค่ะ
“มาชู ปิกชู (Machu Picchu)”
ย้อนรอยเมืองสาบสูญแห่งอินคา
คุณเคยคิดอยากจะย้อนเวลาไปในยุควัฒนธรรมโบราณกันไหมคะ? อยากแต่งกายด้วยชุดโบราณแนวขุนนางหรือชนเผ่าต่างๆ อยากมีชีวิตนั่งตั่งทองเป็นเจ้านางเหมือนในละคร 555 สักครั้งก็ยังดีเนาะ แต่สิ่งเหล่านี้คงเป็นได้เพียงแค่ความฝันและจินตนาการไปเองเท่านั้น เพราะชีวิตจริงช่างแตกต่างจากในละครซะเหลือเกิน เราจะไม่ยอมให้เป็นแค่เพียงความฝันแน่นอน เพราะวันนี้เราจะมาคุณไปย้อนรอยเมืองสาบสูญแห่งอินคา “มาชู ปิกชู (Machu Picchu)” ด้วยกัน พร้อมแล้วตามมาเลยค่ะ..
ซากอารยธรรมโบราณตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรูหรือนิยมเรียกอีกชื่อว่า “เมืองสาบสูญแห่งอินคา” อารยธรรมแห่งนี้คาดว่าสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1450 แต่ได้ถูกหลงลืมไป จนกระทั่งมีการค้นพบอีกครั้งในปี พ.ศ. 2454 โดยนักโบราณคดี เป็นหลักฐานสำคัญของจักรวรรดิอินคา และองค์กรยูเนสโกได้กำหนดให้ “มาชู ปิกชู (Machu Picchu)” เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2526 มาชู ปิกชู มีความสูงอยู่ที่ 2,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นศูนย์กลางความสำคัญทางโบราณคดีของอเมริกาใต้ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนเปรูเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการมาเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์จากอารยสถานแห่งนี้ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 มาชู ปิกชู ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางจากเมืองกุสโกไปยังนครมาชู ปิกชู ได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
“พระราชวังสีเขียว (Winter Palace of Bogd Khan)”
อิทธิพลศาสนาสู่ความงามทางวัฒนธรรม
“ศาสนา” และความเชื่อ คือสิ่งหนึ่งที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก การมีชีวิตอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งของมนุษย์ล้วนต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ มนุษย์ในสมัยโบราณมักจะให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะศาสนาและเชื่อที่พวกเขาศรัทธาในเบื้องลึกของจิตใจนั้น ส่งผลต่อวิถีแห่งการใช้ชีวิตและลักษณะของการอาศัยพึ่งพิงอยู่ร่วมกัน เมื่อพูดถึงประเทศ “มองโกเลีย” แล้ว บอกเลยว่า ประเทศมองโกเลียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมองโกเลียขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เงียบสงบและมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งวิถีชีวิตของผู้คนที่เรียบง่ายและเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวแบบสุดๆ ทำให้ประเทศนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวขาลุยจำนวนมากให้ต้องมาเยือนมองโกเลียสักครั้งในชีวิต
“พระราชวังสีเขียว (Winter Palace of Bogd Khan)” หรือ พระราชวังฤดูหนาวของบอกด์ ข่าน เป็นที่ประทับของบอกด์ ข่าน ยาวนานถึง 20 ปี หลังจากนั้นได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวังฤดูหนาวของบอกด์ ข่าน และกองทุนโบราณสถานโลกได้ประกาศให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมเพื่อการอนุรักษ์ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมประวัติศาสตร์มองโกเลียในศตวรรษที่ 17-20 สำหรับจัดแสดงศิลปวัตถุที่ทำด้วยฝีมืออย่างประณีต ทรงคุณค่าหาได้ยากมากกว่า 8,600 ชิ้นๆ เลยค่ะ โดเรม่อนมีประตูวิเศษ แต่ที่นี่มีประตูแห่งความสุขและสันติภาพรอทุกท่านที่มาเยือน ประตูไม้ของพระราชวังที่สร้างตามสถาปัตยกรรมแบบทิเบต เพื่อเฉลิมฉลองอิสรภาพของมองโกเลียจากประเทศจีน มีความพิเศษตรงที่ใช้ไม้ประสานกัน 8 ชิ้น โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว บานประตูสีแดงสดบนผนังประตูมีรูปวาดเทพเจ้าสององค์ หลังคาสีเขียว 7 ชั้น ตกแต่งลวดลายด้วยรูปสัญลักษณ์ทางศาสนา มาถึงตอนนี้แล้ว.. เชื่อว่าหลายๆ คนคงอยากไปเยือนกันแล้วใช่ไหมคะ? เก็บเงินและตั้งตานับวันรอไปพร้อมกันได้เลยค่ะ
“ชีเชนอิตซา (Chichen Itza)”
สบตาอารยธรรมชนเผ่ามายัน
เชื่อว่าเราคงเคยให้ยินชื่อ “ชนเผ่ามายัน” กันมาบ้าง ว่าแต่ว่าชนเผ่านี้มีิอิทธิพลทางประวัติศาสตร์อย่างไรกันบ้างนะ? แล้วทำไมถึงต้องสร้างสถาปัตยกรรมสูงใหญ่นี้ขึ้นมา? และทำไมถึงต้องสร้างเป็นรูปทรงคล้ายกับพีระมิด? ตอนนี้เชื่อว่าหลายๆ คนคงเกิดคำถามขึ้นในใจ นั่นสิ! ทำไมกันนะ.. วันนี้เราจะพาทุกท่านไปชมความงามของผลงานชิ้นเอกนี้กัน สบตาอารยธรรมชนเผ่ามายัน ในรูปแบบของสนุกและคลายความสงสัยได้แน่นอน
“ชีเชนอิตซา (Chichen Itza)” เป็นแหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยชาวมายาในเขตวัฒนธรรมเมโสอเมริกันของประเทศเม็กซิโก เป็นส่วนหนึ่งของเมืองจำนวนมากมาย ซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต ซึ่งลักษณะโดยทั่วไปของชีเชนอิตซา จะเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้นๆ มีบันไดกลาง วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า “วิหารแห่งนักรบ” สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไป ใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้าโดยใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณ ที่นั่น ชนเผ่ามายาแห่งเม็กซิโกมีการพัฒนาทางวัฒนธรรมทั้งในด้านเหี้ยมโหดอันป่าเถื่อนและความมีสติปัญญาอันสูงส่งในขณะเดียวกัน พวกมายาฝึกความเสียสละด้านมนุษยชาติ ควักหัวใจผู้ที่รับการบูชาออกสังเวยพระเจ้า ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาความรู้ด้านดาราศาสตร์ ศิลปะของสถาปัตยกรรม ด้านการเขียนบันทึกด้วยตัวอักษรพิเศษ และการค้นพบค่าของเลข 0 ทางคณิตศาสตร์ เรียกได้ว่า “ชนเผ่ามายัน” ถือเป็นกูรูของศาสตร์แห่งตัวเลขในยุคนั้นเลยก็ว่าได้..
“อุทยานภูเขาไฟหมู่เกาะฮาวาย”
กอดผืนทราย ก่ายแผ่นฟ้า ไปกับดินแดนภูเขาไฟกลางทะเล
สาดความร้อนแบบลุกโชติช่วงกับไฟแห่งลาวาร้อน อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต “ฮาวาย” หนึ่งในชื่อแรกๆ ที่หลายๆ คนคุ้นชินกัน ดินแดนแห่งความงามและเสน่ห์แห่งวิถีชีวิตที่น่าค้นหา เกาะฮาวายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับวันหยุดที่โดดเด่นเป็นอันดับแรกๆของโลก นอกจากจะมีบรรยากาศที่แสนโรแมนติกแล้ว เกาะฮาวายยังเหมาะสำหรับการพักผ่อนกับครอบครัว และสามารถมอบความสนุกให้กับคนได้ในทุกวัยอีกด้วยค่ะ
ว่าแต่ทำไมเราจะต้องไปชมลาวาที่ฮาวายกันด้วยหล่ะ? ต้องไปไกลขนาดนั้นเลยหรือ? ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ “อุทยานภูเขาไฟหมู่เกาะฮาวาย (Hawaii Volcanoes National Park)” กันก่อน รู้หรือไม่ว่าอุทยานแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1916 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 30,000 ตารางกิโลเมตร เลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่สวนสาธารณะที่ใหญ่และได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากที่สุดค่ะ อุทยานแห่งนี้มีภูเขา 2 ลูก คือ ภูเขาไฟมาอูนา โลอา (Mauna Loa) และภูเขาไฟคีเลาเวอา (Kīlauea) ที่ได้รับการกำหนดให้เป็น International Biosphere Reserve ในปี ค.ศ. 1980 และเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987 ทั้งนี้ภูเขาไฟคีเลาเวอายังมีการปะทุอยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้งบนเกาะฮาวายแห่งนี้นั่นเอง นอกจากนี้แล้ว บนยอดเขาภูเขาไฟสามารถตั้งแคมป์และมีเส้นทางเดินป่าให้นักท่องเที่ยวอีกด้วยค่ะ โดยจะอยู่ในพื้นที่ที่ทางอุทยานได้จัดเตรียมไว้ให้ จินตนาการไม่ออกเลยนะคะว่านอนกับภูเขาไฟที่ยังปะทุนี่มันเป็นยังไง 555 นอกจากจะได้ชื่นชมกับภูเขาไฟแล้วยังได้สำรวจป่าที่อุดมสมบรูณ์อีกด้วย เรียกได้ว่าคุ้มสุดคุ้ม...
“หุบเขาแห่งพระจันทร์และทะเลทรายอาตากามา”
ถิ่นพระจันทร์งามดั่งต้องมนตรา
ใครเคยมีความฝันอยากจะไปถึงดวงจันทร์อาจไม่ต้องไปไกลถึงนอกโลก เพราะที่ชิลีนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ว่ากันว่ามีหุบเขาแห่งพระจันทร์อยู่ด้วย หุบเขาแห่งพระจันทร์นี้ตั้งอยู่ในทะเลทรายอาตากามา เกิดจากการทับถมของแร่ธาตุพร้อมทั้งการกัดกร่อนของลมและน้ำเป็นเวลาหลายล้านปี จึงทำให้พื้นผิวมีลักษณะคล้ายกับดวงจันทร์นั่นเอง นอกจากจะสวยงามแล้วที่นี่ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่แห้งแล้งที่สุดในโลกอีกด้วย
“หุบเขาแห่งดวงจันทร์และทะเลทรายอาตากามา” (Valle de la Luna and Atacama Desert) มีลักษณะธรณีวิทยาเป็นหินผาและภูเขาทรายที่ถูกกัดเซาะด้วยน้ำกับแรงพัดของลม จึงทำให้เกิดสีและรูปร่างที่ชวนตื่นตาคล้ายกับพื้นผิวบนดวงจันทร์ โดยบางส่วนของพื้นที่ในหุบเขานี้จะถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวของเกลือที่ถูกพัดมาจากทะเลขั้วโลก ช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินที่นี่นั้นราวกับภาพวาดที่เกิดมาจากดวงจันทร์ยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เนินเขาและคราบการปกคลุมจากน้ำทะเลนั้นจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีชมพู ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สุดวิเศษแห่งหนึ่งของโลก บนที่ราบสูงของอเมริกาใต้มีความยาวกว่า 1,000 กิโลเมตร ซึ่งหิมะและลมจะนำพาเกลือมาจากคาบสมุทรแอนตาร์กติกา ส่งผลให้ปริมาณเกลือที่ตกค้างเกิดผลึกก่อตัวกับพื้นดิน ทำให้เกิดพื้นผิวที่มีลักษณะคล้ายกับพื้นผิวบนดวงจันทร์ที่มีชื่อว่า El Valle de la Luna...
“ถ้ำหินอ่อน (The Marble Caves)”
มหัศจรรย์เงาสะท้อนดั่งประติมากรรมกลางน้ำ
ทุกท่านคงเคยมองดูตัวเองในกระจกกันใช่ไหมคะ? ภาพสะท้อนนั้นคือตัวตนของเราในแบบที่เราเป็น รู้ไหมว่าโลกใบนี้ก็มีตัวตนเหมือนเราเช่นกัน วันนี้เราขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวสุดมหัศจรรย์ที่เป็นการรวมกันอย่างลงตัวของธรรมชาติแบบพอดิบพอดีมากๆ สร้างความงดงามดั่งโลกเนรมิตอีกใบ ซึ่งสถานที่นั้นคือ “ถ้ำหินอ่อน (The Marble Caves)” ณ ประเทศชิลี
“ถ้ำหินอ่อน (The Marble Caves)” ตั้งอยู่ในทะเลสาบเจเนอเรล คาร์เรรา (Lake General Carrera) และทะเลสาบบัวโนสไอเรส (Lake Buenos Aires) ของทางฝั่งประเทศอาร์เจนตินา ถ้ำหินอ่อนเกิดขึ้นจากการกัดเซาะและแรงกระทบจากคลื่นของน้ำทะเล จนมีลักษณะเป็นรูปร่างเหมือนประติมากรรมกลางทะเลสาบ ซึ่งถ้ำหินอ่อนนี้มีอายุมากกว่า 6,200 ปีมาแล้ว ซึ่งถูกกระแสน้ำซัดกัดเซาะหินอ่อนมาตลอด สีสันที่เห็นได้ตามภาพนั้นไม่ใช่สีของหินอ่อนที่แท้จริงนะคะ นั่นคือสีที่หินอ่อนกระทบกับสีของน้ำในทะเลสาบ จึงเกิดสะท้อนเป็นสีสันสวยงามเต้นระบำอยู่บนชั้นหิน ซึ่งตลอดทั้งปีสีสันเหล่านี้ก็จะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของวันและฤดูกาลด้วยค่ะ ซึ่งช่วงเวลาที่แนะนำมากที่สุดสำหรับใครที่อยากได้ภาพสวยกับสีสดๆ นั้นก็คือช่วงเช้าค่ะ เพราะถ้าเป็นช่วงกลางวันถึงเย็นไปแล้วแดดจะเริ่มตก ทำให้การเกิดการสะท้อนจะไม่สามารถลอดเข้าถึงด้านในของถ้ำได้ดีเท่าช่วงเช้านั่นเอง...
“ปราสาทของชาวมัวร์ (Castelo dos Mouros)”
ป้อมปราการเมืองแห่งมรดกโลก
คุณเคยคิดย้อนมองดูอดีตกันไหมคะ? ยิ่งมองย้อนกลับไปนานเท่าไหร่ ยิ่งรับรู้ถึงความขลัง โลกใบนี้มีความวิเศษให้เราได้ค้นหาอยู่ตลอดเวลาจริงๆ วันนี้เราจะพาทุกๆ ท่านไปรู้จักกับปราสาทของชาวมัวร์ (Castelo dos Mouros) ที่ถูกสร้างขึ้นเสมือนป้อมปราการของเมือง ถูกแวดล้อมไปด้วยต้นไม้อันเขียวขจี ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่ได้รับการเสนอให้เป็นเมืองแห่งมรดกโลก จากการสั่งสมประวัติศาสตร์มายาวนาน บวกกับความงดงามของทัศนียภาพแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนคงอยากจะรู้จักและต้องการไปเยือนกันแล้วใช่ไหมหล่ะ?
“ปราสาทของชาวมัวร์ (Castelo dos Mouros)” ก่อสร้างขึ้นประมาณศตวรรษที่ 10 โดยแขกมัวร์ ตั้งอยู่บนยอดเขาซินตรา มีกำแพงหินเป็นแนวทางยาวตลอดสันเขา เพื่อใช้เป็นป้อมปราการป้องกันเมืองซินตรา จัดว่าเป็นจุดที่มั่นทางยุทธศาสตร์สำหรับการทำสงครามกันในอดีต ภายหลังได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวอย่างหนัก และได้รับการบูรณะซ่อมแซมโดยกษัตริย์เฟอร์ดินัลที่ 2 (King Ferdinand II) จากประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน ทำให้ได้รับการยกย่องให้เป็นอนุสาวรีย์แห่งชาติในปี ค.ศ. 1910 และเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมของเมืองซินตราที่ยูเนสโกรับรองให้เป็นมรดกโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 ภายในปราสาทของชาวมัวร์ มีบรรยากาศที่ร่มรื่นปกคลุมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ให้ความรู้สึกเย็นสบาย เดินเยี่ยมชมได้เรื่อยๆ ทั้งโบสถ์ หอคอย และอ่างเก็บน้ำฝน มองลงมาจะเห็นพระราชวังแห่งชาติเปนาของโปรตุเกส เมืองซินตรา และที่ราบกว้างใหญ่เขียวสดตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าเข้มในมหาสมุทรแอตแลนติกค่ะ วิวดี 10 10 10 ไปเลยจ้า
“หมู่บ้านซานตาคลอส (Santa Claus Village)”
ดื่มด่ำบรรยากาศคริสมาสต์กับซานต้าตัวเป็นเป็น
“คริสมาสต์” หนึ่งในค่ำคืนแห่งความสุขของหลายๆ คน ตั้งแต่เกิดมาก็มักจะได้รับการปลูกฝังว่า คริสมาสต์คือวันพิเศษสำหรับเด็กดี หากเป็นเด็กดีก็จะได้รับของขวัญดีๆ จากลุงซานต้าเป็นการตอบแทน 555 เชื่อว่าหลายคนคงจินตนาการภาพในวัยเด็กเหล่านี้ออก และเข้าใจดีถึงกลอุบายนี้ เอาหล่ะค่ะ.. วันนี้เราขอพาคุณไปรู้จักกับ “หมู่บ้านซานตาคลอส” หรือ Santa Claus Village กัน เชื่อว่าหลายคนคงอยากจะรู้จักกันแล้วหล่ะ..
“หมู่บ้านซานตาคลอส” (Santa Claus Village) ตั้งอยู่ที่โรวาเนียมิ (Rovaniemi) ดินแดนตอนเหนือของประเทศฟินแลนด์ และได้ชื่อว่าเป็น The Official Hometown of Santa Claus ที่นี่แหละเป็นบ้านที่แท้จริงของลุงซานต้านั่นเอง ภายในหมู่บ้านมีพิพิธภัณฑ์ของเล่นเล็กๆ ร้านอาหาร ที่พัก ร้านขายของที่ระลึก และกิจกรรมสนุกๆ มากมาย เช่น การนั่งหิมะลากเลื่อนหิมะด้วยกวางเรนเดียร์ หรือสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ สโนว์โมบิล แต่ที่นิยมกันมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น การถ่ายรูปคู่กับคุณลุงซานต้าเจ้าของหมู่บ้านแห่งนี้ค่ะ และยังมีที่ทำการไปรษณีย์สำหรับส่งของขวัญและจดหมาย แถมได้ติดแสตมป์ที่ประทับตราพิเศษของ Santa Claus Village ส่งไปอวยพรคนสำคัญของคุณด้วยน้า.. พร้อมรวบรวมบรรดาจดหมายที่เด็กๆ ทั่วโลกส่งถึงซานตาครอส เพียงแค่จ่าหน้าซองถึง Santa Claus ไม่ต้องเขียนที่อยู่ จดหมายก็จะเดินทางไปยังสำนักงานแห่งนี้ทันที สุดยอดไปเลยย โดยแต่ละวันคุณลุงซานต้าได้รับจดหมายจากทั่วโลกเฉลี่ยแล้วกว่าสามหมื่นฉบับเลยทีเดียวววค่ะ ฮอตมากๆ 55555
“ถ้ำหนอนเรืองแสง (Waitomo Glowworm Caves)”
มหัศจรรย์ธรรมชาติ ความงามเหนือจินตนาการ
มหัศจรรย์ธรรมชาติคือสิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า เมื่อเปรียบกับความยิ่งใหญ่รอบๆ ตัวเราแล้ว เราก็แค่จุดเล็กๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น วันนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ “ถ้ำหนอนเรืองแสง” สุดยอดถ้ำมหัศจรรย์ สีสันงดงาม ท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมน และการไหลเชี่ยวของสายน้ำ มาถึงจุดนี้แล้ว.. เชื่อว่าหลายคนคงอยากรู้จักและอยากเดินทางไปสัมผัสกันสักครั้งใช่ไหมหล่ะ?
“ถ้ำหนอนเรืองแสง” สุดมหัศจรรย์นี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองไวโตโม (Waitomo) ในเกาะเหนือค่ะ เป็นอีกสถานที่อันน่าตื่นตาตื่นใจจนทุกคนจะต้องอ้าปากค้างและร้องว้าวววออกมาพร้อมกัน เพราะเราจะได้ล่องเรือลำเล็กๆ เข้าไปในถ้ำหินปูนที่มีอายุกว่า 30 ล้านปี! และเห็นแสงระยิบระยับจากตัวอ่อนแมลงที่มีชื่อว่า Araachnocampa Luminosa หรือ Glowworms โดยพวกมันจะปล่อยแสงออกมาจากตัวเพื่อหาคู่และล่อเหยื่อเป็นอาหาร ส่องแสงสว่างสวยงามเหมือนได้อยู่ท่ามกลางดวงดาวบนท้องฟ้าเลยล่ะค่ะ.. ซึ่งนอกจากความตระการตาของหนอนเรืองแสงกว่าล้านตัวแล้ว ยังได้ชมความงดงามของหินงอกหินย้อยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอีกด้วยค่ะ ทำให้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่ถ้ำแห่งนี้ถึงปีละ 4 แสนคน สำหรับการเข้าชมจะมีเป็นรอบทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ใช้เวลาในการเข้าชมประมาณ 45 นาที ให้ฟินกันแบบเต็มอิ่มไปเลย...
“ปราสาทนอยชวานสไตน์ มิวนิค (Neuschwansten Castle)”
สุดยอดปราสาทต้นแบบสวนสนุกดิสนีย์แลนด์
เชื่อว่าหลายๆ คนชอบที่จะเที่ยวเพื่อออกไปหาสิ่งใหม่ๆ หลายคนเลือกสถานที่ท่องเที่ยวจากความชื่นชอบส่วนตัวหรืออิทธิพลจากซีรีส์และภาพยนตร์ที่ได้ชม ปราสาทนอยชวานสไตน์ มิวนิค เป็นหนึ่งในปราสาทที่เก่าแก่และมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 140 ปี ที่นี่มีความน่าค้นหาและมีเสน่ห์อย่างมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบทุกสิ่งอย่างที่เป็นดิสนีย์ ที่นี่เปรียบเสมือนบ้านของเจ้าชายและเจ้าหญิงในจินตนาการกันเลยทีเดียว ว่าแล้วตามมารู้จักกับปราสาทแห่งนี้ให้เยอะขึ้นกันดีกว่าค่ะ
“ปราสาทนอยชวานสไตน์ มิวนิค” (Neuschwansten Castle) ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์แถบแคว้นบาวาเรีย มิวนิค ประเทศเยอรมนี เป็นปราสาทที่งดงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก และเป็นต้นแบบปราสาทเจ้าหญิงนิทราที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ ปราสาทนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 ซึ่งในสมัยนั้นเยอรมันยังไม่ได้รวมกันเป็นประเทศอย่างในปัจจุบัน แคว้นเล็กๆ ต่างปกครองกันเอง ผู้ที่ออกแบบปราสาทแห่งนี้ไม่ใช่สถาปนิก แต่กลับเป็นคนออกแบบฉากละคร ทำให้ปราสาทแห่งนี้เหมือนปราสาทในจินตนาการมากกว่าปราสาทแห่งอื่น ภายนอกสร้างให้ดูเหมือนปราสาทในยุคกลาง แต่ภายในเต็มไปด้วยศิลปะในยุคต่างๆ ไบแซนไทน์ โรมันเนสก์ และโกธิก ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้ทำรายได้ให้ประเทศเป็นเงินจำนวนมหาศาล
“ฮัลส์สตัทท์ (Hallstatt)”
บ้านเรือนริมน้ำ มรดกโลกยูเนสโก้
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เราภูมิใจนำเสนอ “ฮัลส์สตัทท์ (Hallstatt)” เมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบ Hallstatt See ที่ทุกคนจะต้องตกหลุมรักตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาอย่างแน่นอน ที่นี่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ ท่ามกลางความโดดเด่นของวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิประเทศ รับรองได้เลยว่าที่แห่งนี้คือหนึ่งในแลนมาร์กในระดับท็อปลิสกันอย่างแน่นอน...
หากคุณได้มีโอกาสเดินทางไปเยือน “ฮัลส์สตัทท์ (Hallstatt)” สิ่งแรกที่จะสัมผัสได้ก็คืออากาศอันแสนบริสุทธิ์ เงียบสงบ และตัวเมืองที่น่ารักมาก มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่ถึงพันคน ฉากหลังเป็นภูเขาสูงชันโอบล้อมเมือง ทะเลสาบสีฟ้า แถมด้วยบรรดาหงส์ที่พากันมาว่ายน้ำ บ้านเรือนน่ารักๆ ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ลงมาตามแนวเขา รอบเมืองเต็มไปด้วยร้านอาหารขนาดเล็กและดอกไม้สีสันสดใส โอ้ยยเหมือนได้เดินอยู่ในเทพนิยายเลยค่ะ ไม่แปลกใจเลยค่ะที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองริมทะเลสาบที่เก่าแก่และสวยที่สุดในโลก แถมยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ ประเภทชุมชนที่มีการผสมผสานกันอย่างกลมกลืนระหว่างภูมิประเทศที่สวยงามกับวัฒนธรรมที่เก่าแก่ของโลก จึงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้นๆ ของออสเตรีย เหมาะแก่การมาพักผ่อนตากอากาศ เดินเล่นชมธรรมชาติและทัศนียภาพสวยๆ ของตัวเมือง กลางวันก็งาม กลางคืนก็เลิศ มีแสงไฟสวยๆ อบอุ่นมากกก
“อุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรส (Los Glaciares National Park)”
สัมผัสอากาศหนาว.. หนึ่งในความใฝ่ฝันของนักปีนเขา
สำหรับใครชื่นชอบที่จะเที่ยวสัมผัสอากาศหนาวไปพร้อมกับการผจญภัย เราขอแนะนำอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นอย่างมาก รู้ไหมว่าในประเทศอาร์เจนตินามีอุทยานขนาดใหญ่ที่รวบรวมภูเขาสูงที่มีอายุมากว่าหลายพันล้านปีเลยทีเดียว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.. เพราะปัจจุบันที่นั่นเปรียบเสมือนโลกแห่งการผจญภัยของใครหลายๆ คนไปเสียแล้ว
“อุทยานแห่งชาติลอส กลาเซียเรส (Los Glaciares National Park)” สวรรค์ของเหล่านักผจญภัย นอกจากจะมีธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ที่นี่ยังมีเส้นทางการเดินป่าติดอันดับต้นๆ ของโลก นักท่องเที่ยวที่ชอบปีนเขา ตั้งแคมป์ ลุยป่า และฝ่าดง จะต้องหลงรักที่นี่แน่นอน เพราะที่นี่ถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ในปี ค.ศ. 1981 ถูกจัดให้เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของอาร์เจนตินา พื้นที่ 1 ใน 3 ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบ แม่น้ำ และภูเขารูปทรงแปลกตามากมายที่เกิดจากการกัดกร่อนของลมมากว่าหลายพันล้านปี เหมือนได้หลุดไปในโลกน้ำแข็ง เห็นแล้วคิดถึงการ์ตูนเรื่องเอลซ่าขึ้นมาทันทีเลยยย...
“โรงแรมน้ำแข็ง (Ice Hotel)”
เปลี่ยนที่นอนกับค่ำคืนอันหนาวเหน็บ
อีกหนึ่งสถานที่สุดหนาว เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความหนาวเหน็บกันโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าอ่านไปแล้วก็นึกถึงเอลซ่าในการ์ตูนดิสนีย์กันได้เลยค่ะ เราจะพาคุณไปรู้จักกับโรงแรมน้ำแข็ง (Ice Hotel) กัน ซึ่งที่นี่เป็นต้นแบบของโรงแรมน้ำแข็งแห่งแรกของโลกด้วยนะคะ ว่าแล้วตามไปดูกันได้เลยค่ะ...
“โรงแรมน้ำแข็ง (Ice Hotel)” เป็นโรงแรมน้ำแข็งแห่งแรกของโลก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1994 ตั้งอยู่ที่เมือง Kiruna สร้างด้วยหิมะและน้ำแข็งจาก Torne River ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดทีเดียวค่ะ ที่นี่มีที่พัก 2 ส่วนด้วยกันคือ Cold Accommodation และ Warm Accommodation ในส่วน Cold Accommodation คือห้องที่ทำจากน้ำแข็ง เป็นไฮไลท์ของโรงแรมและได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งโต๊ะ ตู้ เตียง ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ จะทำจากน้ำแข็งทั้งหมด โดยอุณหภูมิเฉลี่ยในโรงแรมจะอยู่ที่ -5 องศา! อู้วววว จะเปิดให้เข้าพักได้ในเดือนธันวาคมถึงประมาณกลางเดือนเมษายนของทุกปีค่ะ เมื่ออากาศเริ่มร้อนขึ้น น้ำแข็งก็จะค่อยๆ เริ่มละลายลง และสูญสลายไปเองตามสภาพ และจะมีการสร้างขึ้นใหม่ในทุกๆ ปี โดยแต่ละห้องจะถูกออกแบบโดยดีไซเนอร์แต่ละคน ทำให้ห้องออกมาแตกต่างกันและมีเอกลักษณ์ของตัวเองค่ะ ส่วน Warm Accommodation ก็เป็นห้องพักแบบปกติ ราคาถูกกว่า และภายในโรงแรมน้ำแข็งแห่งนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้ง โรงหนัง ไนท์คลับ บาร์น้ำแข็ง ห้องแสดงนิทรรศการ และโบสถ์เล็กๆ สำหรับการแต่งงานสุดคูลลลล รายล้อมไปด้วยปฎิมากรรมน้ำแข็งสวยงามจากการสลักของช่างสลักน้ำแข็งชั้นนำของโลก ใครอยากจะหนีจากอากาศร้อนๆ บ้านเราก็มาเปลี่ยนบรรยากาศที่นี่ได้นะคะ
“อุทยานแห่งชาติแลงคอยส์ มารานฮานส์ (Lencois Maranhenses National Park)
ทะเลสาบสีมรกตท่ามกลางลอนคลื่นนับร้อย
อากาศร้อนแบบนี้.. หลายคนมีวิธีแก้ร้อนยังไงกันบ้างคะ? วันนี้เราขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวคลายร้อน หนึ่งในแลนมาร์กสุดฮิดสำหรับประเทศบราซิล ทะเลสาบสีมรกตท่ามกลางลอนคลื่นนับร้อย ใช่ค่ะ.. ฟังกันไม่ผิด ที่นั่นคือ “อุทยานแห่งชาติแลงคอยส์ มารานฮานส์ (Lencois Maranhenses National Park)” สำหรับช่วงเวลาแนะนำให้ไปสัมผัสกันก็คือช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายนนะคะ เพราะแอ่งของเนินทรายนั้นได้กักเก็บน้ำฝนมาตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม จะได้เห็นทะเลสาบที่เป็นเหมือนสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่...
“อุทยานแห่งชาติแลงคอยส์ มารานฮานส์ (Lencois Maranhenses National Park)” ตั้งอยู่ในรัฐมารันเยา (Maranhão) ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,500 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของเนินทรายสีขาวกว้างใหญ่ ที่เกิดจากการกัดกร่อนของลมและฝน ทำให้มีลักษณะเป็นแอ่งและลอนคลื่นสวยงาม และเนื่องจากที่นี่ฝนตกบ่อยและหนักมากกกก เนินทรายขนาดใหญ่ก็ทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำจนกลายเป็นทะเลสาบสีมรกตขั้นกลางระหว่างเนิน เกิดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติที่สวยแปลกตา จนเรียกกันว่า “ทะเลสาบคริสตัล”
“พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ (Musee d’Orsay)”
จากสถานีรถไฟสู่พิพิธภัณฑ์แห่งงานศิลปะ
“ศิลปะ” สามารถช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเรา หลายๆ คนเลือกที่จะใช้งานศิลปะในการบำบัดความคิดและพัฒนาจิตใจ บทความนี้เราขอแนะนำท่านให้รู้จักกับ “พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์” พิพิธภัณฑ์แห่งงานศิลปะที่ได้รับการพัฒนาปรับเปลี่ยนมาจากสถานีรถไฟ ที่ยังคงความงดงามและเอกลักษณ์ดังกล่าวไว้ท่ามกลางผลงานศิลปะจากทั่วโลกจวบจนปัจจุบัน
“พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ (Musee d’Orsay)” ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแซนค่ะ ถูกสร้างขึ้นปี ค.ศ. 1900 และเปิดให้เข้าชมได้ในปี ค.ศ. 1986 ซึ่งเดิมทีเป็นสถานีรถไฟ แต่ต้องปิดบริการลงเพราะมีผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้นจนไม่สามารถรองรับได้เพียงพอ และชานชาลาก็มีความยาวที่สั้นเกินไปสำหรับขบวนรถไฟในยุคนั้น จึงได้ทำการปรับเปลี่ยนใหม่ให้สวยงามเพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งใหม่ แต่ก็ยังคงรูปลักษณ์กลิ่นอายเดิมของสถานีอยู่นั่นเองค่ะ ที่นี่เป็นสถานที่เก็บรวบรวมงานศิลปะไว้มากมาย ทั้งจิตรกรรมเอย ประติมากรรมเอย ภาพถ่ายเอย และยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีศิลปะนีโออิมเพรสชันนิสม์ไว้มากที่สุดในโลกด้วยนะคะ รวมถึงผลงานของศิลปินชื่อดังอีกหลายคน เช่น เอดวด มาเนท์, เรอนัวร์ และ แวนโก๊ะค่า โว้ววว ชื่อเสียงของแต่ละคนเลื่องลือระบือนามจริงๆ...
“พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลาม (The Museum of Islamic Art)”
ย้อนรำลึกประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,400 ปี
ว่ากันด้วยเรื่อง “ศิลปะ” เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า “ดินแดนอาหรับ” คือหนึ่งในแหล่งอารยธรรมและประวัติศาสตร์โลก รู้หรือไม่ว่า? ประเทศกาตาร์มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นศูนย์รวมของงานศิลปะจาก 3 ทวีป กับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,400 ปี เลยทีเดียว
“พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลาม (The Museum of Islamic Art)” หรือเอ็มไอเอ (MIA) ตั้งอยู่ริมอ่าวห่างจากคอร์นิช ภายในเมืองหลวงกาตาร์ ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังอย่าง ไอ เอ็ม เพย (I.M. Pei) ผู้ที่เคยออกแบบพีรมิดของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre Museum) ในปารีส แถมยังเป็นเจ้าของรางวัล พริทสเกอร์ ไพร์ซ (Pritzker Prize) การันตีฝีมือขั้นเทพแห่งสถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑ์นี้ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมอิสลามโบราณ มีรูปแบบเรขาคณิตผสมผสานกับดีไซน์สุดทันสมัย บนพื้นที่กว่า 45,000 ตารางเมตร พื้นที่ของแกลลอรี่ได้รับการออกแบบโดยทีมงานวิลมอตเต้ แอสโซซิเอทส์ (Wilmotte Associates) พิพิธภัณฑ์มีทั้งหมด 5 ชั้น มีห้องสมุดเปิดให้บริการอยู่ที่ชั้น 1 โดยแบ่งออกเป็นห้องอ่านหนังสือทั้งหมด 9 ห้อง ภายในมีข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะอิสลามเพียบ ทั้งแบบภาษาอังกฤษและภาษาอารบิกแบบจุใจ ถูกใจคนรักการอ่านเป็นที่สุ๊ดดด ไฮไลท์ของที่นี่คือการจัดแสดงศิลปะของอิสลามจาก 3 ทวีป อายุมากกว่า 1,400 ปี เลิศกว่านี้ไม่มีอีกล๊าววว...
“ซาคินทอส (Zakynthos)”
สัมผัสทะเลงามไปกับเกาะสวรรค์แห่งซีรีส์เกาหลี
เชื่อว่าเหล่าสาวกซีรีส์เกาหลีคงจะรู้จักที่นี่กันเป็นอย่างดี ที่นี่คือ “ซาคินทอส (Zakynthos)” ดินแดนแห่งทะเลงามท่ามกลางทัศนียภาพที่สมดุล ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเกิดเหตุการณ์ลักลอบขนส่งสินค้ากันด้วยนะ ดีนะเนี้ยยยยที่รัฐบาลของกรีซเค้าจับได้เสียก่อน จนกลายเป็นเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์มาช้านาน ทำให้ที่นี่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเดินทางไปท่องเที่ยวกันอย่างไม่ขาดสาย...
“ซาคินทอส (Zakynthos)” หนึ่งใน 7 หมู่เกาะในเขตทะเลไอโอเนียนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลสวยแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่นอกฝั่งตะวันตกของประเทศกรีซ ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องความงามของธรรมชาติ เพราะเป็นเกาะที่อุดมสมบูรณ์ น้ำทะเลสีฟ้าใส หาดทรายนุ๊มมมนุ่ม สีขาวสะอาด โอบล้อมด้วยหน้าผาสีขาวสูงชัน ปกคลุมด้วยต้นไม้สีเขียว และยังปลูกองุ่นไว้ใช้ผลิตไวน์อีกด้วยค่า... จุดเด่นของเกาะซาคินทอสก็คือ หาดนาวาจิโอ หรือ หาดซากเรือแตก (Navagio Beach or Shipwreck Beach) เป็นหาดชื่อดังที่มีซากเรืออันโดดเด่นขึ้นมาเกยอยู่บนฝั่ง มาจากผู้ลักลอบขนส่งสินค้าได้มาจอดทิ้งไว้ขณะหลบหนีเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ยุค ค.ศ. 1980 และถูกใช้เป็นฉากหนึ่งในซีรีส์เรื่อง Descendants of the Sun ที่จุงกิอดีตแฟนเค้าเล่นด้วยแหละ แอร้ยยย เรียกได้ว่าเหมาะกับการมาพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ ค่ะ ถือเป็นเมืองตากอากาศสุดเลิศของกรีซ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาเยือนเป็นหลักแสนคนต่อปีเลยทีเดียววว
White Logo
เลขที่ใบอนุญาต : 11/07645
แบรนด์เรือสำราญ
เวลาเปิดทำการ
Holiday In The Cruise | Copyright 2020. All Rights Reserved.